เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ มี.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ โยมอุตส่าห์มาไงขวนขวายมาขวนขวายมาเพื่อบุญกุศลของเราคนเราเกิดมาเกิดมา สิ่งที่เป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ก็บุญกุศลในหัวใจ บาปบุญนี้แก่นสารของมนุษย์ๆ มนุษย์ตายแล้วเหลืออะไร เหลือซากศพฝังไว้ที่สุสาน จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ คุณงามความดีอันนั้นตกลงที่จิต จิตนี้เป็นผู้ที่ซับไปเห็นไหม แก่นสารของมนุษย์ๆคือการกระทำทำดีทำชั่ว

สมัยโบราณ เวียงวังคลังนา แต่ต้องมีวัดด้วย เพราะวัดนี่สมานไง ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ ตัวศาสนา ตัวสมานตัวเชื่อมหัวใจให้คนเข้าหากันการเชื่อมหัวใจคนเข้าหากัน หัวใจๆ ถ้ามีน้ำใจที่ไหน ที่นั่นมีความอบอุ่นนะ

ถ้าแล้งน้ำใจ แล้งน้ำใจที่ไหนมันก็เดือดร้อนไปทั้งนั้นน่ะความเดือดร้อนเดือดร้อนเพราะอะไร เดือดร้อนเพราะว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากบีบคั้น มันเอาแต่ความเห็นแก่ตัวมันเอาแต่ตัวเองว่าจะได้ๆ กลับไม่ได้ ที่ว่าจะได้ๆไม่ได้ทั้งนั้นเลยไม่ได้เพราะอะไรไม่ได้เพราะมันไปทำให้สังคมนั้นเดือดร้อน พอสังคมเดือดร้อนมันจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ

แต่ถ้ามันมีน้ำใจต่อกันเหมือนกับเราไม่ได้สิ่งใด เราเสียสละ เราเสียสละของเรา เราทำคุณงามความดี เรามีน้ำใจต่อเขา เขาจะทุกข์จนเข็ญใจอย่างไร เรามีน้ำใจต่อเขาเพราะคนเหมือนกัน คุณงามความดีของเขาดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นถึงกษัตริย์ใช่ไหมสละราชวังมา ดูพระยสะสิ มีปราสาท ๓ หลังเหมือนกัน “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” มันวุ่นวายจริงๆน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ยสะมานี่ ที่นี่ไม่วุ่นวาย”

ไม่วุ่นวายที่ไหนไม่วุ่นวายที่ในหัวใจไง ถ้าหัวใจมันไม่วุ่นวายนะที่ไหนมันก็ไม่วุ่นวาย ถ้าหัวใจมันวุ่นวาย อยู่ที่ไหนมันก็วุ่นวายปราสาท ๓ หลังก็วุ่นวาย จะอยู่ตึกสูงขนาดไหนมันก็วุ่นวาย เพราะมันวุ่นวายในหัวใจไง แล้วความวุ่นวายนี้จะชำระล้างได้อย่างไร

มีธรรมโอสถ ธรรมโอสถจะเข้าไปชำระล้างทำให้จิตใจนี้ผ่องแผ้วความผ่องแผ้วอันนั้นต้องมีการกระทำ ถ้ามีการกระทำมาจากไหน

ของอยู่ดูสิ วางไว้นั่นมันก็สกปรกอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่เราเอาเก็บมาทำความสะอาดขึ้นมา มันก็จะสะอาดขึ้นมาไงหัวใจของเราเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา การเกิดเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะต้องมีคุณงามความดีมันถึงเกิดเป็นมนุษย์มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แล้วประเสริฐที่ไหนล่ะ มนุษย์ประเสริฐที่ไหน

ประเสริฐตรงที่น้ำใจ ตรงมีค่าน้ำใจ คนมีน้ำใจเวลาเกิดสิ่งใดมันเกิดธรรมสังเวช มันเกิดสังเวช มันมีความสลดหัวใจนะ ทำไมเขาทำกันได้ขนาดนั้นทำไมเขาทำได้ขนาดนั้น เขาทำได้อย่างไรล่ะเขาทำได้อย่างไร

ที่เขาทำขึ้นมา เขาคิดว่าเขาทำมาเพื่อประโยชน์กับเขาแต่ความจริงเขาสร้างบาปสร้างกรรมในหัวใจของเขา การกระทำอันนั้นมันกว้านมาไง แต่เราไม่เห็นน่ะ เราเห็นว่าเขาได้ๆไง เราจะน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี

ดีมันคืออะไรล่ะ ดีมันคืออะไร ความดีอย่างนั้น ดีต้องการให้เขายกย่องสรรเสริญให้เขาชื่นชมเราไง ธรรมะเก่าแก่ไง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทามันมีของมันอยู่โดยดั้งเดิม แล้วพอสรรเสริญนินทาก็การตลาดไงการตลาดก็สร้างภาพขึ้นมาๆสร้างภาพขึ้นมามันสร้างขึ้นมาด้วยการจ้างเขาไง แต่ตัวเองเร่าร้อน เร่าร้อนว่าทำแล้วมันไม่สมความปรารถนาไง พอไม่สมความปรารถนามันก็เดือดร้อนไง นี่มันเรื่องโลกๆทั้งนั้นน่ะ ในเมื่อทำดีเพื่อต้องการให้เขายอมรับนับถือ มันก็มีความทุกข์ไปทั้งนั้นน่ะ

แต่ของเราทำความดีทิ้งเหวไง ทำดีก็คือดี ทำดีแล้วก็คือดีของเรา ถ้าดีของเรา เราสบายใจของเราสุจริต ความสุจริต ความสะอาดบริสุทธิ์ของเรามันคุ้มครองในหัวใจของเราเขาจะติฉินนินทาเขาจะใส่ไคล้ขนาดไหนมันเรื่องของเขา

เขาใส่ไคล้นะ ไม่มีใครยอมให้ใครเหนือกว่าตนหรอก แต่เวลากิเลสในหัวใจของเรามันยังเหนือกว่า มันเหยียบย่ำเรามันไม่ได้คิดเลยมันไม่ได้คิด มันเหยียบย่ำเราอยู่นี่ มันไม่ได้คิดเหยียบย่ำเราๆมันมาจากไหน

ความคิดเกิดจากจิตไม่ใช่จิต ความคิดเกิดขึ้นมาอารมณ์ สัญญาเกิดขึ้นแต่ละครั้งแต่ละคราวเกิดจากจิต แล้วมันไปไหน เกิดจากจิตแล้วก็เหยียบย่ำหัวใจดวงนี้มันเกิดจากจิตแล้วมันก็เหยียบย่ำเรา มันมาจากไหนล่ะ

ถ้าเราจะมีสติมีปัญญาเราเท่าทันมันไงถ้าเราเท่าทันมันเราถึงต้องมีสติถ้ามีสติมันยับยั้งได้หมด ความคิดที่มันจะรุนแรงขนาดไหนที่มันจะกระหน่ำขนาดไหน ยับยั้งได้หมดเลย

คนเราเวลามันทุกข์ทุกข์เพราะอะไรทุกข์เพราะความคิดเราเองทั้งนั้นน่ะ มันทุกข์เพราะความคิดเราเองถ้ามันทุกข์เพราะความคิดเราเอง แล้วความคิดมันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ทำลายเราทั้งๆ ที่เวลาจิตปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีบุญกุศลขนาดนี้ มันมีบุญกุศลเพราะมันมีโอกาส มีวาระหนึ่งในชีวิตนี้ไงแล้วก็ให้ความคิดนี้เหยียบย่ำเราๆ เหยียบย่ำทำลายนะเหยียบย่ำทำลาย เหยียบย่ำทำลายแล้วมันมีสิ่งใดในหัวใจล่ะ ก็มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ

วันนี้วันพระๆ วันพระผู้ประเสริฐประเสริฐที่ไหนประเสริฐที่ในหัวใจไง ถ้าหัวใจประเสริฐ ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์องค์เดียว อยู่โคนต้นโพธิ์นั้น เวลาท่านตรัสรู้ขึ้นมาแล้วสั่งสอน ๓แดนโลกธาตุ สั่งสอนได้อย่างไรสั่งสอนก็นี่ไง สิ่งที่มันเกิดจากจิตแล้วเหยียบย่ำจิต เพราะมันเกิดที่จิต จิตมันถึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจไง ทำดีของเรา เราก็อยากให้คนอื่นเขายกย่องสรรเสริญไง

แต่เวลาทำดีของเราเวลาสัจธรรมมันเท่าทันในกิเลสของตน มันทำให้จิตใจมันสงบระงับได้ ถ้าทำสงบระงับไม่ได้อาศัย อาศัยกรรมฐาน ๔๐ห้อง กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก

ลมหายใจทุกคนก็มีหมด สัญชาติใดเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตมีลมหายใจทั้งนั้นแต่ถ้าไม่มีสติปัญญากำหนดมันไม่มีอานาปานสติไง ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกหายใจทิ้งเปล่าๆไง ถ้ามีสติทันสติมันทัน มันทันลมหายใจ ทันลมหายใจ สติสติมันทันลมหายใจ จิตมันกำหนดรู้ พอจิตกำหนดรู้ จิตมันกำหนดรู้ๆ มันดับอย่างอื่นหมดมันอยู่ที่มัน เวลามันสงบเข้ามามันสงบเข้ามาที่ตัวมัน ถ้ามันสงบเข้ามาๆ พอมันสงบเข้ามาสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิต เกิดขึ้นจากจิตมันไปไหน

สิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากจิต ไอ้ที่มันหลอกลวง มันไปไหนล่ะ ว่างหมดพอว่างหมดแล้วว่างหมดมันก็เป็นสากลไงสากลคือว่าจิตของคนมันเป็นแบบนั้น ถ้าจิตของคนเป็นแบบนั้นแล้ว ถ้ามันเกิดสติปัญญาขึ้นมา ปัญญาในพระพุทธศาสนาไง ปัญญาในพระพุทธศาสนามันถอดมันถอนมันสำรอกมันคายของมัน ถ้ามันคายของมัน

นี่ไง สิ่งที่มีค่าๆ ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ การเกิดเป็นมนุษย์นี่สัตว์ประเสริฐๆ มันประเสริฐที่ไหนถ้ามีค่าน้ำใจน้ำใจมันอยู่ที่นี่น้ำใจมันอยู่ที่นี่ที่ไหน น้ำใจมันอยู่ที่นี่เพราะเราเห็นใช่ไหม เราเห็นว่าเวลาความคิดมันเกิดขึ้นมา มันบีบคั้นแล้วมันทุกข์ขนาดไหน แล้วใจดวงอื่นล่ะแล้วใจดวงอื่นล่ะ

มันธรรมชาติของมันน่ะธรรมชาติของกิเลสมันเป็นแบบนั้นน่ะ เห็นไหมธรรมะเป็นธรรมชาติ มันก็ธรรมชาติของมันน่ะ แล้วธรรมชาติทุกดวงใจมันมีอย่างนี้ แล้วมันเกิดขึ้นมามันก็บีบคั้นทุกดวงใจอยู่นี่ แล้วเรารู้เท่าทันมัน เรารู้เท่าทันมัน เรารู้เท่าทันมัน

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง ถ้าเรารู้เท่าทันมันนะ เอ็งหลอกกูไม่ได้ เอ็งอย่ามาหลอก เอ็งอย่ามาหลอก แต่ทั่วโลกสงสารมันโดนหลอกหมดน่ะ กิเลสมันหลอกทั้งนั้น มันหลอกอยู่ในหัวใจนั้นน่ะ แล้วก็เกิดทิฏฐิมานะใครคิดดี ใครคิดว่าตัวเองมีความคิดดีไง ก็เอาทิฏฐิมานะไปฟาดฟันกันไงเอาทิฏฐิมานะในใจนั้นแหละ แล้วก็ไปฟาดฟันกันไง

แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเท่าทันมันเท่าทัน เอ็งหลอกกูไม่ได้หรอก เอ็งหลอกกูไม่ได้ เอ็งหลอกกูไม่ได้เพราะอะไรเพราะว่ากูรู้เท่าทันเอ็งไง แต่รู้เท่าทันแล้วเวลาจิตมันเจริญแล้วเสื่อมเสื่อมแล้วเจริญมันก็เป็นแบบนั้นน่ะ แต่ถ้าคนมันเท่าทันขึ้นมา มันต้องสำรอกมันต้องคายของมันออกไป

ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่งไม่มีสิ่งใดหรอกมันล้นฝั่งอยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็ทำลายโอกาสของคนตลอดเวลามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐประเสริฐที่ไหนประเสริฐที่ความเพียรชอบ มีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะสำรอกคายมันออกไป ก็การสำรอกการคายออก นี่บุคคล ๔คู่ จากใจดวงหนึ่งมันเปลี่ยนแปลงเป็น ๔ คู่ เพราะมันเปลี่ยนแปลงเป็น ๔ คู่ เทวดาอินทร์ พรหมถึงมาฟังธรรมๆ

ฟังธรรมเพราะเทวดาอินทร์ พรหมเขาก็อยากเป็น แต่เขาเป็นไม่ได้เขาเป็นเทวดาอินทร์ พรหมเพราะว่าเขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาทำบุญกุศลของเขา เขาหมดวาระของเขา เขาไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์พรหมในวัฏฏะผลของวัฏฏะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นเทวดา อินทร์พรหม ก็ต้องสิ้นชีวิตของเขาไปหมด คนที่มีการเกิดที่ไหนมันต้องดับที่นั่นที่ไหนมีการเกิดที่นั่นต้องมีการดับ

ขณะนี้เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เรายังมีโอกาสอยู่นะเรายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกนะ เวลาจิตออกจากร่างนี้ไปร่างกายนี้ทิ้งไว้ทุกคนไม่เอาเข้าบ้านด้วยเอาไปทิ้งไว้ที่ป่าช้า ไม่มีใครเอาเลย ร่างกายนี้เวลาจิตออกจากร่างไปแล้วหมดค่า แล้วเขายังกลัวผีอีกต่างหาก

แต่ขณะนี้มันมีชีวิตอยู่ มีจิตอยู่ ยังพาอยู่พากินได้ จิตมันยังพาเราอยู่พาเรากินได้ ใครๆก็ยังเห็นคุณค่าอยู่ วันไหนจิตออกจากร่างไปหมาก็ไม่มอง อีแร้งมากินเนื้อมัน แล้วมันเป็นสมบัติของใครล่ะ แต่ขณะที่มีชีวิตอยู่นี่ เราคิดอะไร เราทำอะไร เราเพื่อประโยชน์อะไร

ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไงฟังธรรมเพื่อเตือนสตินะเพราะเวลาปัจจุบันธรรมปัจจุบันคิดอนาคต อนาคตผลเกิดจากปัจจุบันนี้อนาคต คิดดีทำดี ได้ดี คิดผิดพลาด ทำผิดพลาด อนาคตอนาคต อนาคตนั้นจะทุกข์ยากเพราะปัจจุบันคิดดีหรือคิดชั่วถ้าคิดถูกต้องดีงามมันเป็นประโยชน์ ถ้าปัจจุบันนี้คิดไม่ถูกต้อง อนาคตอนาคตนั่นน่ะมันจะมาบีบคั้น มาบีบคั้นเพราะอะไร

นี่ไง ถ้ามันเป็นปัจจุบันที่ดี ครูบาอาจารย์ท่านสอน ถ้าปัจจุบันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ต้องดีปัจจุบันๆ ถ้าปัจจุบันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ดี ถ้าปัจจุบันผิดพลาดอนาคตมันจะบีบคั้น ความบีบคั้นนั้นเพราะใครเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา กิเลสมันทำใคร มันหลอกใคร มันหลอกใคร มันหลอกคนที่รู้ไม่เท่าทันมันไง แต่ถ้ามันรู้เท่าทันนะ มันหลอกกูไม่ได้หรอก หลอกไม่ได้ๆๆ ความคิดจะหลอกเราไม่ได้

ความคิดมันเป็นมนุษย์มนุษย์มีธาตุ ๔และขันธ์ ๕มนุษย์มีธาตุ ๔และขันธ์ ๕ ความคิดมันมีของมันอยู่โดยดั้งเดิมแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมัน พอครอบงำทำสิ่งใดเป็นของเราๆ ของกูๆ

ของมึงไม่มีหรอก ของเราๆ เราทำ เราทำดีทิ้งเหว เราทำ ทำแล้วจบแล้วไม่ต้องการการชื่นชมจากใคร เอ็งจะชื่นชมได้อย่างไร เอ็งมีความรู้อะไรจะมาชื่นชม เอ็งรู้จักจิตหรือเปล่าเอ็งรู้จักสมาธิไหม เอ็งเกิดปัญญาหรือเปล่าเอ็งไม่มีปัญญาเอ็งไม่มีปัญญาเอ็งชื่นชมได้อย่างไร เอ็งไม่มีความรู้ เอ็งจะเอาอะไรมาชื่นชม มันชื่นชมไม่ได้

การชื่นชมของเราคือปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ความเป็นจริงในหัวใจนี้ ถ้าความเป็นจริงในหัวใจนี้มันเป็นจริงของมันขึ้นมา ไม่ต้องมีใครชื่นชมครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่าในเขา เทวดาอินทร์ พรหมท่านมาอนุโมทนาๆ เพราะความจริงเป็นความจริงอันนั้นเพราะเทวดาเขารู้เรื่องจิต เขามองเห็น เขารู้แต่ของเรา เรามองได้แต่เห็นหน้า แต่ไม่รู้ใจเราเห็นหน้ากันเราเข้าใจกัน เราเห็นรูปร่างหน้าตา แต่เราไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอย่างไร เขามีความฉ้อฉลในใจอย่างไร เรารู้ไม่ได้ เรารู้ไม่ได้แต่เทวดาเขารู้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา ถ้ามันเป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโกในใจของเราใครจะมาชื่นชมเอ็งรู้ได้อย่างไรไม่มีสิทธิ์ เว้นไว้แต่เอ็งปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมถ้ามันสมควรมันเท่าทันกันน่ะใช่ เท่าทันกันน่ะใช่

ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์เทศนาว่าการ ผู้ฟังๆครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรมเท่ากัน ท่านเข้าใจได้ ท่านเข้าใจได้เข้าใจ มันแจ่มแจ้ง เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีกำมือในเรา แบตลอด ไม่มีกำมือในเรา ท่านแสดงธรรมโดยสัจธรรม แต่พวกเราจะขวนขวายได้หรือไม่ได้พวกเราจะทำจริงหรือไม่ทำจริง ถ้าทำจริงมันก็ต้องได้สัจจะความจริงอันนั้น

ถ้าเราทำไม่จริงไง เราทำไม่จริงนะ มีวาระมากน้อยขนาดไหน เราทำเราก็ทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำบูชา เราเคยทำ เห็นไหมเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติปฏิบัติแล้วท้อแท้ถดถอยก็เลิกไป แล้วพอถึงเวลาแล้ว พอทุกข์ยากก็มาปฏิบัติใหม่ ๑๐ ปี๒๐ ปีก็ย้อนกลับมาปฏิบัติใหม่เพราะไม่มีทางไปหรอก ไม่มีทางออก ไม่มี มีอยู่ทางเดียวเพราะอะไร

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้พยากรณ์ เป็นผู้ชี้แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้แล้ว ไม่มีทางอื่นถ้ามีทางอื่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพาออกแล้วถ้ามีทางอื่นถ้ามีทางง่ายกว่า

ในปัจจุบันนี้ลัดสั้นเอาสะดวกเอาสบายกัน ลงเหวทั้งนั้นน่ะ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เพราะมันไม่มีเหตุมีผล เวลาธรรม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุถ้าเหตุผลมันเกิดขึ้นไม่ได้แล้วเวลาครูบาอาจารย์เราท่านเทศนาว่าการท่านพูดถึงเหตุถ้าใครทำเหตุได้ผลไม่ต้องฟังเลยเหตุ น้ำหนักมันพอ ผลมันเกิดแน่นอน ผลมีแน่นอน

ทีนี้เหตุมันไม่มี เวลาพูดไปก็พูดไปแต่วิธีการ พูดไปก็วิเคราะห์วิจัยกันเอาแต่วิธีการมาคุยกันโม้กันว่าวิธีของข้าดีกว่าของเอ็ง ของเอ็งดีกว่าของข้าแล้วดีอย่างไรล่ะถ้าดี ทำไมเอาตัวรอดไม่ได้ ถ้าดี ทำไมจิตสงบไม่ได้ ถ้าดี ทำไมถอดถอนกิเลสไม่ได้ ถ้ามันดีจริง

ถ้ามันดีจริงมันต้องถอดถอนได้ ถ้ามันถอดถอนได้มันสัจธรรมอันนั้น ถ้าสัจธรรมอันนั้น เราขวนขวายตรงนี้ไง ความสมดุลของมัน

กิเลสนะเวลากิเลสมันละเอียดลึกซึ้งเวลาหลวงตาท่านพูด แก่นของกิเลส ไม่มีสิ่งใดที่ละเอียดลึกซึ้งเท่ากิเลสคนเราจะไม่รู้เท่าทันตัวเองไง เห็นความผิดของคนอื่นไปทั้งหมดเลย แต่ไม่เคยเห็นความผิดของตัวไง ขี้บนหัวคนอื่นเห็นทั้งนั้นน่ะ ปัดให้ๆแต่ไอ้โสโครกบนหัวตัวเองไม่เคยทำ ไม่เคยเห็น

ทำอยู่ทุกวันๆ ทำอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วบอกคนนู้นผิดคนนี้ผิด แต่เอ็งทำอยู่อย่างนั้นน่ะ นั่นล่ะทิฏฐิมานะ นั่นล่ะอยากใหญ่แต่ถ้าเมื่อใดสำนึกตน เมื่อใดสำนึกตนแล้วจะแก้ไข นั่นล่ะเขามีโอกาส

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงอริยประเพณีนะ ใครทำความผิดพลาดแล้วระลึกรู้ รู้ตัวแล้วขอขมาลาโทษ นี้คืออริยวินัย ทำผิดพลาดแล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วพอผิดแล้วกลบไว้ๆ พยายามไม่ให้ใครเห็น ปิดไว้ๆ มันไม่กล้าสารภาพ ไม่กล้าบอกว่าผิด

อริยวินัยนะ ผู้ใดทำความผิดพลาด มันต้องมีทุกคนแหละความผิดพลาด แต่ผิดแล้วยอมรับผิดแล้วแก้ไข นั่นจะมีโอกาส แต่ถ้าผิดพลาดแล้วกลบไว้ซ่อนไว้พยายามหลีกเลี่ยงไว้ เพื่ออะไรเพื่อจะกลบเกลื่อนมัน

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันกรรมคือการกระทำ มโนกรรมคิดแล้ว ความคิดย้ำคิดย้ำทำเป็นจริตเป็นนิสัยเพราะนิสัยอันนั้นมันถึงทำให้จิตใจมัวหมองจิตใจอันนั้นมันไม่ผ่องแผ้ว นี่มันเกิดแล้ว เกิดการกระทำมโนกรรมมโนกรรมนี้คนไม่เห็นนะ เห็นแต่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมการกระทำอันนั้นมันเกิดแล้วถ้ามันเกิดแล้วสิ่งที่ว่าไม่รู้ ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันกรรมที่การกระทำอันนั้นมันจะเป็นจริตเป็นนิสัยเป็นความครุ่นคิดภายในแล้วเราก็ทุกข์กันตรงนี้ไง เราทุกข์ที่ไฟสุมขอน ไฟในมันสุมขอนไฟในนี่ ข้างนอกดูสุขดูสบายทั้งนั้นน่ะ ทุกคนมีความสุข

ในเมื่อมีการเกิด มีอวิชชาคือความไม่รู้ มันจะเอาความสุขมาจากไหน มีการเกิดที่ไหน อวิชชาอยู่ตรงนั้น ในเมื่อมีการเกิดอยู่ จะเอาความสุขมาจากไหน ไม่มีหรอก แต่สังคมก็ปั้นหน้ากัน มีความสุขๆ ความสุขไม่มีหรอกความสุข มันก็ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไปคือทุกข์มันจางลง ทุกข์มันพอผ่อนคลาย เออ! มีความสุขๆ

เอ็งต้องแบกรับชีวิตนี้ไปชีวิตนี้เหมือนไปอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ล้มลงแล้วยังต้องไปต่อ ผลของวัฏฏะจิตนี้ต้องเวียนว่ายตายเกิดตลอดไป แต่ถ้าเรามีธรรมโอสถธรรมโอสถมาแก้ไขมาดัดแปลง มาให้ความชุ่มชื่นกับหัวใจ แล้วเราประพฤติปฏิบัติพยายามค้นคว้าหาหัวใจของเราเห็นไหม แก่นสารของความเป็นคน จิตดวงนี้ผ่องแผ้ว แก่นสารของความเป็นคน แก่นสารของความเป็นคน ความดีและความชั่วของหัวใจดวงนี้ เอวัง